Convergence love : บรรจบกับรัก
เรื่องย่อ -
เรื่องเดือดร้อนไม่เข้าใครออกใคร...
ภาวินรับเลี้ยงลูกชายแฝดสามของพี่สาวมาตั้งแต่พวกเด็กๆเกิด มันคงเป็นชีวิตที่มีความสุขมากหากไม่เพราะพวกเขากำลังจะโดนไล่ออกจากห้องเช่า! เมื่อไม่มีทางเลือกที่ดีกว่า พ่อของเด็กแฝดทั้งสามจึงเป็นหนทางเดียวที่เหลืออยู่ ภาวินคงไม่ลำบากใจนัก หากผู้ชายคนนั้นไม่ใช่คนที่เคยทิ้งเขาไปแต่งงานกับผู้หญิง!!!
ไม่มีใครที่ไม่เคยผิดพลาด...
นราธิปกับพี่ชายฝาแฝดโดนมารดากดดันเรื่องอยากมีหลานมาได้สักพักใหญ่ๆแล้ว พวกเขาเห็นเป็นเรื่องขำขันชวนหัวมากกว่าจะจริงจัง แต่แล้วไม่กี่วันต่อมาแฟนเก่าของเขา(ที่เป็นผู้ชาย)กลับมาปรากฏตัวพร้อมกับเด็กซึ่งอีกฝ่ายบอกว่าเป็นลูกของเขา ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่มีถึงสาม! เรื่องลูกไม่มีปัญหาหรอก แต่นราธิปดันอยากได้แฟนเก่าคนนี้กลับมานี่สิที่เป็นปัญหา...
นี่เป็นเนื้อหาตัวอย่าง ยังไม่ใช่ฉบับที่จะเอาไปพิมพ์เป็นเล่มจริง ซึ่งอาจจะมีการแก้ไขเล็กน้อย (อาจจะแก้ประโยคหรือคำบางคำ) และยังจะมีการตรวจแก้คำผิดเพิ่มเติมอีกครั้ง และเนื้อหาที่ลงอาจจะไม่ต่อกันแบบเรียงตามตอน ด้วยเป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น
จึงแจ้งมาเพื่อทราบค่ะ
JUPJIB
ภาวินเข็นรถเข็นสำหรับเด็กฝาแฝดสามเดินไปมาในตลาด ใครๆต่างก็มองตามหลังมา แถมภาวินยังได้ยินเสียงซุบซิบคุยกันว่าเด็กสามคนในรถเข็นเป็นฝาแฝดหรือแค่พี่น้องกันเฉยๆด้วย เขาอยากหันไปบอกนักว่าเป็นฝาแฝดครับ แต่มันดูจะนำเสนอมากเกินไปในมื่ออีกฝ่ายไม่ได้เข้ามาถามตรงๆ
เขาเดินต่อไปเรื่อยๆ พยายามไม่สนใจเสียงของใคร ภาวินตั้งใจจะมาเดินเล่นเฉยๆ แต่พอเจอกองเสื้อผ้าของเด็กก็สะดุดตาจนอดเข้าไปรื้อๆค้นๆไม่ได้ เสื้อยืดตัวน้อยถูกพลิกซ้ายพลิกขวาตรวจสอบ เสื้อยืดสีน้ำเงินลายขาวน่ารัก อยากได้มันก็อยากได้อยู่หรอก แต่เขายังไม่แน่ใจว่าจะมีเงินพอซื้อไหมด้วยถ้าจะซื้อก็ต้องซื้อสามตัวขึ้นไป...
“เท่าไหร่ครับ”
คนขายเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือนิยายที่กำลังอ่าน มองภาวินแล้วยิ้มการค้าส่งมาให้
“กองนั้นผืนละ 80 จ้า เลือกเอาได้เลยนะ”
แม่ค้ารู้ว่าลูกค้าคนนี้กระเป๋าไม่หนัก ยิ่งเห็นรถเข็นเด็กที่คงเป็นของมือสองหรืออาจจะสามหรือสี่ก็ยิ่งเข้าใจ แต่เธอไม่รังเกียจอยู่แล้ว จะน้อยจะมากก็เงินทั้งนั้น ลูกค้ายังไงก็คือลูกค้า เธอมองภาวินค่อยๆหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาดูแล้วคิดว่าสมควรปล่อยให้ลูกค้าได้เลือกตามสบายจึงก้มลงอ่านหนังสือในมือต่อ ปล่อยให้อีกฝ่ายเลือกรื้อกองผ้าเลหลังนั้นได้ตามใจ และไม่นานนักภาวินก็เลือกได้
“ตาดีนะคุณ”
ชมจากใจจริงเพราะแม้จะบอกว่าเป็นของเลหลัง แต่ก็มีของดีที่ขายไม่ออกปนอยู่ในนั้นด้วย ของดีมีไม่กี่ตัว แต่ภาวินเลือกออกมาได้เกือบทั้งหมด
“ขอบคุณครับ”
เขายิ้มรับคำชมและจ่ายเงิน ซื้อเสื้อและกางเกงอย่างละสามตัว จากที่ตั้งงบไว้ว่าจะซื้อเพียงแค่สองร้อย กลับเลยเถิดไปถึงสี่ร้อยกว่า แต่นานๆทีเขาจะได้ซื้อของให้เด็กๆ ภาวินจึงคิดว่าค่อยลดค่าอาหารของตัวเองสักอาทิตย์เพื่อชดเชยก็คงพอ
“เด็กๆน่ารักจังนะคะ”
แม่ค้าชวนคุยระหว่างที่หยิบเงินทอน ภาวินยิ้มกว้างกว่าเดิม ยามมีคนเอ่ยปากชมเด็กๆ ภาวินจะชอบใจเป็นที่สุด ดีใจและภาคภูมิมากกว่ามีคนมาชมตัวเองเสียอีก
“หน้าเหมือนแม่หรือคะ”
เพราะเด็กทั้งสองไม่เหมือนภาวินเลย ภาวินยิ้ม เฉยเสีย จะบอกได้อย่างไรว่าเด็กๆทั้งสามหน้าไม่เหมือนแม่เลยสักนิด ถ้าจะให้บอกว่าเหมือนใครก็คงเหมือนพ่อมากกว่า พ่อที่ภาวินไม่อยากพูดถึง
แต่ถึงอย่างนั้น เด็กทั้งสามก็เป็นเด็กที่หน้าตาน่ารักมาก แม้จะไม่อยากยอมรับว่าหน้าตาของพ่อของเด็กๆนั้นดูดีและส่งผลมาถึงเด็กๆ หากมันก็เป็นเรื่องจริงที่เขาอดจะชื่นชมไม่ได้
ภาม ภีมและภูมิเป็นเด็กหน้าตาคมคาย ดวงตาสีดำกลมโตและผมสีดำเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากได้รูปสวย ผิวของเด็กๆขาวผ่องเพราะได้แม่มา หน้าตาของทั้งสามน่ารักจริงๆจนหลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นแฝดหญิง ภาวินรักเด็กทั้งสามมาก ไม่ว่าเด็กทั้งสามคนนี้จะเกิดมาด้วยความผิดพลาดของใครหรืออะไรก็ตาม
ภาวินเดินกลับห้องเช่าอย่างอารมณ์ดี เด็กชายวัยเก้าเดือนทั้งสามคนยิ้มง่ายและตอนนี้กำลังกัดยางกัดเล่นอย่างเมามัน ภาวินฮัมเพลงเบาๆอย่างมีความสุข จนกระทั่งมาถึงหน้าตึกนั่นแหละ ที่ความสุขของเขามันดูท่าจะหมดลงเสียแล้ว
“ป้าสรวง มีอะไรหรือเปล่าครับ”
เขาถามป้าเจ้าของห้องเช่าที่เช่าอยู่อย่างค่อนข้างหวั่นใจ หน้าตาของอีกฝ่ายดูลำบากใจมาก ซึ่งมันบอกกลายๆว่าคงไม่ใช่เรื่องดี
“คงต้องให้ย้ายออกจริงๆนะวิน ห้องข้างล่างกับห้องข้างๆเขาบ่นมามากเลย”
ภาวินทำหน้าปั้นยาก กำลังจะเอ่ยปากขอร้องแต่เจ้าของห้องเช่าดูเหมือนจะรู้ทัน
“ป้าไม่ได้อยากไล่วินนะ แต่คนอื่นบ่นมา ถ้าวินไม่ออก ห้องอื่นๆจะพากันออก ป้าก็ทำอะไรไม่ได้จริงๆ ถือว่าป้าขอร้องแล้วกันนะวินนะ”
ภาวินถอนหายใจก่อนจะพยักหน้ารับ
“ภายในหนึ่งอาทิตย์นะจ๊ะ ป้าขอโทษจริงๆ”
ว่าแล้วแกก็รีบเดินหนีไป ภาวินรู้ดีว่าป้าสรวงเองก็ไม่ได้อยากให้เขาออก เพราะภาวินอยู่ที่นี่มานาน นานกว่าใครเลยก็ว่าได้ แต่กฎของห้องเช่าบอกไว้ชัดว่าห้ามนำเด็กเล็กและสัตว์เลี้ยงเข้ามาอยู่อาศัย หากมีก็จะต้องขอให้ย้ายออก แล้วก็กฎเรื่องห้ามทำเสียงรบกวนอีก เพราะต้องเลี้ยงแฝดสามภาวินจึงออกจากงานเก่า เอาเงินเก็บมาซื้อจักรเย็บผ้า และทำงานรับเย็บผ้าอยู่ที่ห้อง เสียงจักรมันเลยไปรบกวนห้องอื่นๆอยู่เสมอ ถึงจะเลี่ยงไม่ทำงานตอนกลางคืน แต่ถ้างานเร่งก็เลี่ยงไม่ได้ ภาวินรู้ดีว่าตนเองรบกวนคนอื่น แต่เขาไม่มีที่ไปที่ไหนอีกแล้ว ห้องเช่าที่จะราคาถูกขนาดนี้และอยู่ในย่านดีๆแบบนี้ก็หายาก ที่สำคัญไม่ค่อยมีใครยอมให้เช่าเพราะภาวินมีเด็กๆนี่แหละ
แล้วเวลาแค่หนึ่งอาทิตย์ ภาวินจะไปหาห้องเช่าได้อย่างไร
...........................
“ขอแนะนำรอบที่ล้านว่าให้ไปบอกพ่อเด็กๆซะ”
ตรัยเพื่อนรุ่นพี่ที่สนิทของภาวินซึ่งพักอยู่ด้วยกันพูดระหว่างที่หยอกล้อฝาแฝดเล่นไปด้วย
“ขอบอกเป็นรอบที่ล้านเหมือนกันว่าวินเคยพยายามแล้ว แต่เขาไม่สนใจ”
“งั้นก็ต้องฟ้อง เอาให้มันเป็นเรื่องเป็นราว คนแบบนี้ต้องเจอซะบ้าง”
ภาวินหัวเราะขำ ตรัยพูดอย่างนี้ทุกครั้ง ถ้าจะให้ภาวินล้อเลียนก็คงต้องบอกว่าพูดมาเป็นรอบที่ล้านแล้วเหมือนกัน เขาสะบัดชุดที่เพิ่งซัก ตากไว้บนราวก่อนจะเก็บตะกร้าผ้าเข้ามาในห้อง
“วินกลัวว่ามันจะส่งผลระยะยาว ส่งผลถึงตอนเด็กๆโต วินไม่อยากให้เป็นปม”
“แล้วจะเอายังไง จะหาห้องใหม่ได้หรือ”
พูดตามตรงภาวินก็ยังคิดไม่ออก เงินเก็บแทบจะไม่มีเหลือ ของตรัยเองก็เพิ่งหมดไปกับค่าซ่อมรถเสียด้วย
“พี่ตรัยอยู่ที่นี่ต่อก็ได้นะ วินจะไปบอกป้าเจ้าของให้”
ตรัยส่ายหน้า ก่อนหน้านี้เขาเองก็อยู่คนเดียว จนกระทั่งภาวินเอาเด็กๆมาเลี้ยงเขาจึงตัดสินใจย้ายมาอยู่ด้วยเพื่อลดค่าใช้จ่ายของเพื่อนและช่วยดูแลเด็กๆ ภาวินเกรงใจตรัยมาก แต่ตรัยขู่ว่าถ้าไม่ยอมให้มาอยู่ด้วยจะเลิกคบ ภาวินจึงต้องรับน้ำใจไว้ ทั้งๆที่คนอื่นๆแม้แต่คนเคยรักของภาวินต่างก็ทอดทิ้งหนีห่าง มีแต่ตรัยเท่านั้นที่ยังคงอยู่เคียงข้างเขาเสมอ
“พี่ย้ายมาเพราะจะช่วยวินนะ ถ้าวินย้ายออกพี่ก็ต้องย้ายตามสิ หาห้องเข้าเถอะ อย่ากังวลกับพี่นักเลย”
ภาวินหัวเราะตรัยที่ทำเสียงเอือมๆใส่
ทั้งสองคนรู้จักกันมาตั้งแต่ม.ปลาย ภาวินเป็นคนเหนือ เขาโดนที่บ้านตัดหางปล่อยวัดตั้งแต่ม.4เมื่อเจ้าตัวไปสารภาพว่าไม่สามารถรักผู้หญิงได้ บ้านของภาวินที่ค่อนข้างจะหัวเก่ารับไม่ได้ที่ภาวินเป็นอย่างนี้ ภาวินจึงย้ายมาเรียนที่กรุงเทพโดยมียายที่ดูเหมือนจะเป็นเพียงคนเดียวที่เข้าใจเขาคอยส่งเสีย ยายบอกว่าขอเพียงอย่างเดียวคือขอร้องไม่ให้ภาวินทำตัวมั่ว นอนกับคนอื่นเปรอะไปหมดอย่างที่ยายเห็นคนอื่นๆเป็น ยายขอให้จบมหาวิทยาลัยเสียก่อน ภาวินก็รับปากและทำตามมาโดยตลอด แม้ตอนที่ยายเสียไปแล้วเขาก็ยังยึดถือคำสอนนั้น อาจจะเพราะเขาไม่เคยยอมมีอะไรกับใครนี่เองก็ได้ที่ทำให้เขาคบกับใครก็ไม่ยืดเสียที แต่ภาวินไม่เคยเสียใจ เพราะคิดว่าเวลาพิสูจน์ใจคนได้ดีที่สุด
จนคนล่าสุดที่คบกันนี่ล่ะที่ภาวินร่ำจะใจอ่อนยอมมีอะไรด้วยอยู่แล้ว เพราะเรียนจบกันแล้วด้วย แต่ก็มามีเรื่องเด็กๆให้ภาวินได้รู้นิสัยแท้จริงของอีกฝ่ายเสียก่อน ภาวินถอนหายใจเบื่อๆ ทำไมคนดีๆมันหาได้ยากได้เย็นจังนะ
ส่วนตรัย อายุมากกว่าภาวินหนึ่งปี ตรัยเคยเป็นเด็กใจแตก กินเหล้าและเที่ยวผู้หญิงมาตั้งแต่ยังไม่ทันอายุ 15 ด้วยซ้ำ จนกระทั่งตอนอยู่ม.6 เจ้าตัวไปรักกับคนอายุมากกว่าเกือบสิบปี เธอทำงานเป็นสาวบาร์ เวลากลางคืนต้องทำงาน เวลากลางวันจึงจะได้อยู่ด้วยกัน ตรัยรักและหลงเธอมากจนยอมเอาเวลาทั้งหมดให้เธอ เขาไม่ยอมไปเรียน ไม่ยอมกลับบ้าน ที่บ้านตรัยซึ่งค่อนข้างมีฐานะและมีหน้ามีตาโกรธมากจนตัดตรัยออกจากครอบครัว ไม่สนใจใยดีอีก ตรัยเองก็ไม่สนเหมือนกัน เขามีเงินที่ปู่และย่าให้เป็นมรดกมากมาย หากแต่ธรรมดาของโลก...มีได้ก็ย่อมหมดได้เช่นกัน
ตรัยใช้เงินฟุ้งเฟ้อ ซื้อของที่ตนและคนรักอยากได้ แถมยังออกรถใหม่ราคาแพง ไม่นานเงินในธนาคารที่สามารถใช้ได้ก็หมด ตอนนั้นตรัยยังไม่คิดอะไรเพราะเงินที่เบิกใช้ได้ถึงจะหมด แต่พอปีถัดไปเขาก็จะได้รับก้อนใหม่อยู่ดี ถึงจะไม่มากแต่ก็พออยู่ได้อย่างไม่ลำบากตลอดทั้งปี แต่คนรักของตรัยไม่รู้
เมื่อเงินหมด ธาตุแท้ของเธอก็เริ่มออก เธอเริ่มไม่สนใจตรัย เริ่มมองหาผู้ชายคนใหม่ ตรัยพยายามรั้งเธอ แต่มันก็ไม่มีประโยชน์เพราะถึงเธอจะชอบที่ได้แฟนเด็ก แต่เด็กที่ไม่มีเงินเธอก็ไม่ต้องการ สุดท้าย เธอถึงขั้นให้ผู้ชายคนอื่นมาทำร้ายร่างกายและไล่ตรัยออกจากห้องอย่างกับหมูกับหมา
ตอนนั้นเองที่ตรัยได้เจอภาวิน
ภาวินจำได้ว่าตรัยคือรุ่นพี่ที่เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน แม้พักหลังๆจะไม่ค่อยเห็นเขาก็จำได้ เขาพาตรัยกลับบ้านและช่วยดูแล ตรัยในตอนนั้นทั้งอ่อนแอทั้งแค้นผู้หญิงที่ตนเคยรัก เขาแค้นจนถึงขั้นเอาแต่คิดว่าจะฆ่าหล่อนให้ตายอย่างไรจึงจะสาสม เป็นโชคดีที่ยายของภาวินลงมาเยี่ยมพอดี
ความรัก การดูแลเอาใจใส่ และคำพูดเตือนสติของยายทำให้ตรัยไม่พลั้งมือทำอะไรบ้าๆลงไป เขาแค่กลับไปเอาของๆเขาและรถมา ตอนเจอเธอเขายอมรับว่ายังเจ็บใจแต่ก็ไม่แค้นเธออีกแล้ว เขาลองถอยออกมายืนดูเรื่องราวตั้งแต่เริ่มจนจบอย่างที่ยายของภาวินสอน แล้วก็ได้เห็นว่าเขาโง่เอง ทั้งหมดนั้นเขาผิดมากกว่าใคร
ตรัยกลับมาเรียนม.6ใหม่จึงได้อยู่ชั้นเดียวกับภาวิน แถมยังอาศัยอยู่ที่ห้องเช่าของภาวินด้วยกัน จนกระทั่งจบม.6 ตรัยไม่คิดจะกลับเข้าบ้านเพราะที่บ้านตัดเขาขาดเสียแล้ว เขาเลือกที่จะไม่เรียนต่อและเริ่มทำงานในโรงงาน ทางภาวินเข้าเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยซึ่งไกลจากโรงงานที่ตรัยทำงานมากทั้งสองจึงต้องแยกกันอยู่ แต่ก็ยังโทรคุยกันและพบกันเสมอ ยายเสียตอนที่ภาวินกำลังเรียนอยู่ปีสอง ตอนที่ไปงานศพยายนี้เองที่ทำให้ตรัยรู้ว่าภาวินไม่มีใครอีกนอกจากยาย เหมือนกับที่เขาไม่มีใคร
ทั้งสองคนจึงเป็นทั้งญาติ เพื่อน และพี่น้องสำหรับกันและกัน
“เลือกที่ดีๆหน่อยแล้วกัน ฝาแฝดโตขึ้นทุกวันนะอย่าลืม”
ตรัยพูดเพราะกลัวภาวินจะไปเลือกที่สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสมกับเด็กๆ ภาวินคิดไม่ตก การเงิน การงานและสถานการณ์ไม่อำนวยเอาเสียเลย เขาคิดว่าบางที เขาอาจจะต้องลองติดต่อพ่อของเด็กๆ
........................................
นราธิปนั่งมองมารดาที่ทำท่าไม่พอใจยามพี่ชายฝาแฝดของเขาสะบั้นรักหญิงสาวที่ท่านหาให้อย่างเห็นขัน
“น้องผึ้งไม่ดีตรงไหนฮึตาหนึ่ง”
คนโดนถามไหวไหล่
“ทำไมไม่โยนให้สองเล่าคุณแม่ เป็นหนึ่งทุกทีเลย”
คุณหญิงอุบลปรายตามองบุตรชายอีกคนแล้วทำหน้าเหมือนกินยาขม
“แกอ่อนให้คุณแม่เองนะหนึ่ง อย่าได้วกมาที่ฉัน”
ธราธิปถอนหายใจ น้องชายฝาแฝดโบ้ยมาอย่างนี้และคุณแม่ก็คงไม่คิดจะตื๊ออีกฝ่ายเพราะเล่นยากกว่าเขามาแต่ไหนแต่ไร
“ลูกชอบผู้ชายมากกว่า คุณแม่ก็ทราบดีอยู่แล้ว”
“ฉันอยากได้หลาน! พวกแกเข้าใจไหม! ฉันมันเกิดมามีกรรม มีลูกชายอยู่แค่สองคน คนหนึ่งเป็นไบเซ็กชวลที่ถ้าเลือกได้ก็เลือกผู้ชายมากกว่า อีกคนก็เป็นพ่อม่ายที่เจ้าชู้ ได้ทั้งชายทั้งหญิงจนไม่แน่ใจว่าจะได้แต่งงานกับใครเขาอีกไหม ฉันเลี้ยงพวกแกมาผิดๆใช่ไหมเนี่ย โอย จะเป็นลม”
คุณหญิงไม่ได้จะเป็นลมจริงๆ แต่ทำท่าให้ดูโอเวอร์ไปอย่างนั้นเอง สองพี่น้องเห็นมารดาหยิบยาดมขึ้นมาดมแล้วก็ต้องกลั้นยิ้ม ...แม้คำว่าพ่อม่ายจะไม่ค่อยตลกสำหรับนราธิปก็เถอะ
“พรุ่งนี้ฉันจะไปบนกับเจ้าที่ ขอหลานสักคน สองคน สามคนก็ยิ่งดี เฮ้อ... พูดก็พูด...พวกแกหัดไปทำสาวท้องบ้างเถอะ แม่ขอร้อง”
ครางนี้ทั้งสองพี่น้องต่างพากันหัวเราะเสียยกใหญ่ มีแม่ที่ไหนอยากให้ลูกชายตัวเองไปทำคนอื่นท้องบ้างเล่า มารดาของพวกเขาช่างคิดอะไรประหลาดเสียจริง
“พ่อของพวกแกก็เหมือนกัน เล่นแต่กอล์ฟ แม่ละปวดหัว”
“อ้าว ทำไมมาถึงผมได้ล่ะคุณ”
ธนาที่เพิ่งกลับมาเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
“พวกแกมาแกล้งอะไรเมียพ่ออีก”
สองพี่น้องมองหน้ากันก่อนจะเบือนหน้าหนี คุณพ่อกับคุณแม่ เริ่มต้นจะหวานกันอีกแล้ว ช่างน่าแปลกเสียจริงที่ทั้งคู่มีลูกแค่พวกเขาสองคน ทั้งๆที่หวานกันเสมอต้นเสมอปลายขนาดนี้
“งั้นพวกลูกขอตัวก่อน”
คำขอตัวของบุตรชายทั้งสองไม่ได้รับการสนใจนัก ทั้งสองเดินออกมาจากห้องแล้วต่างก็แยกย้ายกันไปทำงานที่คั่งค้าง
ธราธิปหรือหนึ่ง ดูแลกิจการด้านโรงแรมและที่พัก ทางนราธิปหรือสองดูแลสถาบันการเงินชื่อดังที่ครอบครัวเป็นหุ้นส่วนใหญ่อยู่ ปีนี้ทั้งสองคนอายุ 29 แล้ว แต่ยังโสดทั้งคู่ ธราธิปบอกว่ายังไม่เจอคนที่ใช่ เขาค้นหาไปเรื่อยๆ เรียกว่าเจ้าชู้ก็ไม่ผิดนัก ส่วนนราธิป...เขาเคยแต่งงาน แต่หย่ากับภรรยามาได้เกือบเจ็ดปีแล้ว และเรื่องแต่งงานใหม่ไม่มีในหัวของเขาเอาเสียเลย
แต่ตอนนี้สองพี่น้องฝาแฝดต่างก็คิดตรงกันว่า หากไม่อยากตื่นขึ้นมาแล้วถูกใส่กุญแจมือลากไปเข้าพิธีแต่งงาน พวกเขาต้องหาทางมีลูกให้คุณหญิงแม่ของตนให้ได้เสียแล้ว
.............................
“พี่ก็คิดว่าพ่อของฝาแฝดต้องรวยนะ แต่ไม่คิดว่าจะรวยขนาดนี้”
ตรัยพูดขึ้นมาเมื่อได้อ่านประวัติของคนที่ภีรยาพี่สาวของภาวินระบุในใบสูติบัตรว่าเป็นพ่อของลูกๆของเธอซึ่งภาวินพิมพ์ประวัติเขามาจากอินเทอร์เน็ท
ภีรยาเป็นพี่สาวของภาวินเป็นลูกสาวที่พ่อกับแม่ของเขารักและตามใจมาก ภีรยาสวย เรียนเก่ง เป็นนักกิจกรรม และเป็นเด็กดีของผู้ใหญ่ เรียกได้ว่าเธอเป็นลูกสาวในอุดมคติเลยก็ว่าได้
แต่คนที่ไหนจะสมบูรณ์แบบย่อมไม่มี
ภีรยามาใจแตกเอาตอนเริ่มเรียนปวช. ยามอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่เธอก็ยังเป็นเด็กดีเสียจนต่อให้ใครไปบอกพวกผู้ใหญ่ก็คงไม่มีผู้ใหญ่คนไหนเชื่อว่าเธอชอบดื่มเหล้า สูบบุหรี่ แรงเข้าหน่อยก็ถึงขั้นเสพยา เธอชอบเที่ยว ชอบที่ได้รับความสนใจจากเพศตรงข้าม ที่เธอเป็นก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไปที่อยากรู้อยากลองเป็นเรื่องธรรมดา ลองแล้วหากคุมตัวเองได้ พวกเขาก็จะไม่ตกเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้น น่าเสียดายที่ภีรยาคุมตัวเองไม่ได้
เธอไปเที่ยวผับโดยใช้ข้ออ้างว่าไปติวหนังสือที่บ้านเพื่อน ตอนเด็กๆเธอตั้งใจเรียนและเรียนเก่งจริงๆ แต่ตอนเรียนชั้นปวช. เธอแทบไม่เคยจับหนังสือ เข้าเรียนแค่ที่จำเป็นและไม่เคยสนใจที่อาจารย์สอน โชคดีเป็นของเธอที่หนึ่งในคนที่เธอมีความสัมพันธ์ด้วยเป็นคนดูแลข้อสอบของวิทยาลัย แถมยังมีอีกคนเป็นนักเรียนที่เรียนดีที่สุดในห้อง ทั้งคนสองรักและหลงเธอมากจนยอมทำทุกอย่าง ภีรยาจึงมีงานดีๆส่ง และทำข้อสอบได้ตลอดแม้จะไม่ได้อ่านหนังสือเลยก็ตาม...ซึ่งมันทำให้เธอยิ่งได้ใจ
ภีรยาเลือกเรียนแค่จบปวส. เธอบอกพ่อกับแม่ว่าอยากแบ่งเบาภาระของพวกท่าน แต่ความจริงคือเธอไม่สามารถไปสอบเข้าที่อื่นได้ เนื่องจากสอบไม่ติดและที่อื่นไม่มีคนคอยช่วยเหลือเธอ ตอนที่พบกับพ่อของเด็กๆ ภีรยาเรียนจบและทำงานมาหลายปีแล้ว
เธอใช้ข้ออ้างเรื่องทำงานเพื่อมาอยู่กรุงเทพ เลือกทำงานกลางคืนเพื่อจะได้ทั้งเงิน ได้ดื่ม ได้สนุกและได้เที่ยว เธอเปลี่ยนงานไปหลายที่ เป็นที่รู้จักในหมู่คนกลางคืนในระดับหนึ่ง จนได้เจอกับนราธิป...
นราธิปเป็นผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาที่ดื่มเงียบๆอยู่คนเดียวไม่ได้เข้ากับบรรยากาศความสนุกของร้านเลย แต่ก็ดึงดูดมาก ซึ่งไม่ใช่แค่เธอเท่านั้นที่คิด
หญิงชายมากหน้าหลายตาต่างก็พากันไปวนเวียน ไม่มีใครสามารถเข้าใกล้ เพราะเขาไม่ได้เปิดรับ ภีรยาใช้ความเป็นพนักงานจนสามารถเข้าใกล้ ใส่ยาลงในแก้วเหล้า และพาเขาออกมาท่ามกลางสายตาอิจฉาของคนอื่นๆที่เล็งเขาไว้
ค่ำคืนนั้นแสนวิเศษ วิเศษขนาดที่เธอลืมป้องกันทั้งที่ภีรยาไม่เคยลืมตัวแบบนี้ เธอเพิ่งเลิกกับแฟนจึงไม่ได้กินยาคุมเสียด้วย เธอไม่คิดว่าแค่ครั้งเดียวมันจะเกิดปัญหา แล้วอย่าได้พูดถึงคนที่โดนยาเลยว่าจะมีสติอะไร เธอรู้สึกดีกับมันมากแม้ว่าเขาจะไม่คิดมีความสัมพันธ์กับเธออีกไม่ว่าเธอจะพยายามตื๊อยังไง แม้ไม่พอใจแต่ก็ยังต้องยอมรับว่ามันเป็นเซ็กส์ที่ดีที่สุดเท่าที่เธอเคยมีมา จนกระทั่งเธอรู้ว่ามันทำให้เธอท้อง ภีรยาท้องและหาทางออกไม่เจอ เธอมารู้ตอนท้องได้หลายเดือนแล้ว เรื่องประจำเดือนนั้นมันมาไม่ปกติอยู่แล้วจนเธอลืมนึกถึง กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่มีคนทักว่าอ้วน และเธอพยายามลดเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมลง
ภีรยาไม่กล้ากลับไปหาพ่อแม่ เงินค่าทำแท้งสำหรับคนท้องหลายเดือนแพงมาก เธอที่ไม่มีเงินเก็บย่อมไม่มีปัญญาหามาจ่าย จะหยิบยืมใครก็ไม่มีใครให้ เธอติดต่อหาภาวิน น้องชายที่พ่อกับแม่ตัดทิ้งไปแล้ว ภีรยาไม่ได้เกลียดน้องแต่ก็ไม่ได้รัก ยิ่งภาวินออกจากบ้านมาทำให้แม้แต่ความผูกพันก็ยังแทบไม่มีเหลือ แต่เมื่อลำบาก เธอก็คิดถึงใครไม่ออกนอกจากน้องชายเพียงคนเดียว
พ่อของเด็กๆเป็นคนดัง เธอย่อมรู้ว่าเขาเป็นใคร มีแม้กระทั่งเบอร์ติดต่อแต่มันก็ไม่ใช่เบอร์ตรงและเธอไม่เคยได้โอกาสพูดสายกับเขา มันไม่มีประโยชน์เลย เขาไม่สนใจใยดี แน่ล่ะ ก่อนหน้านี้เธอเคยพยายามตื๊อเพื่อให้เขารับผิดชอบเธอและเขาปฏิเสธมาแล้ว การติดต่อไปหาแล้วบอกว่าเธอท้องย่อมไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะเชื่อ
ภีรยาโกรธ แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรใหญ่โตด้วยกลัวพ่อกับแม่จะรู้เรื่อง เธอยังห่วงอนาคตตัวเองอยู่ เธอคลอดแต่ไม่เคยอุ้มลูกๆเลยเพราะกลัวจะผูกพัน ภาวินเป็นคนดูแลตั้งแต่เด็กๆเกิด หลังจากพักฟื้น เด็กๆก็มาอยู่กับภาวินในขณะที่ภีรยากลับไปทำงานที่บ้านเกิดและไม่เคยติดต่อมา รวมทั้งบอกภาวินว่าอย่าติดต่อไปเพราะเธออยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ เธอมอบอำนาจให้ภาวินเป็นผู้ปกครองเด็กๆแทน
ภาวินไม่โทษพี่สาวและยินดีรับเด็กๆมาเลี้ยงดู ผู้หญิงที่มีลูกแล้วกับผู้ชายที่มีลูกแล้ว สังคมไทยคงไม่ประณามและตัดโอกาสผู้ชายเท่ากับที่ทำกับผู้หญิงเขาทราบดี ภีรยามีลูกตอนไม่พร้อม เธอไม่ไปทำแท้งก็ดีมากแล้วสำหรับภาวิน โชคดีที่เด็กๆแข็งแรงทั้งที่ตอนท้องภีรยาไม่ได้ดูแลตัวเองดีเท่าที่ควร แถมเด็กๆยังไม่เคยได้กินนมแม่อีกด้วย
ภาวินพยายามติดต่อพ่อของเด็กๆมาหลายครั้ง แต่ไม่ว่าจะอ้างชื่อภีรยาหรืออ้างเด็กๆยังไง ก็ไม่เคยได้คุยกับอีกฝ่าย ครั้งสุดท้ายที่โทรไป ทางนั้นบอกชัดเจนว่าให้เลิกอ้างอะไรไร้สาระได้แล้วเพราะเจ้านายของเขาไม่มีทางเชื่อ ภาวินจึงเลิก ไม่คิดติดต่อไปอีก หรือหากจะทำมันจะเป็นทางเลือกสุดท้าย
“วันนี้ไปเดินหาห้องพักได้บ้างไหม”
“ไม่เลย ที่ดีๆหน่อยก็แพงมาก ที่พอรับได้เขาก็มีกฎไม่รับเด็กเล็ก ส่วนที่ถูกๆและไม่เกี่ยงเรื่องเด็กๆก็น่ากลัวเกินไป”
พูดจบก็ถอนหายใจออกมา ภาวินรู้ตัวว่าเงื่อนไขตัวเองเยอะ แต่เขาไม่มีทางเลือก ต้องหาห้องตามเงื่อนไขให้ได้เท่านั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่อาจจะวางใจได้ลง
“พรุ่งนี้เราจะไปหาใหม่ สงสารก็แต่เด็กๆ ต้องตะลอนๆไปกับเราด้วย”
“ขอโทษนะที่ลางานไม่ได้เลย”
ตรัยพูดอย่างรู้สึกผิด เพราะเป็นเรื่องกะทันหัน เขาจึงไม่สามารถลางานได้
“วินไม่ได้ว่าพี่ตรัยสักหน่อย อย่าคิดมากเลย”
ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่คนที่คิดมากที่สุดก็เห็นจะเป็นตัวภาวินนี่เอง
...........................
“เด็กเล็กๆสามคนนี่คงไม่ไหวมั้งคะคุณ”
คนดูแลหอพักเหลือบมองเด็กน้อยสามคนที่อยู่ในรถเข็นก่อนจะเอ่ยปฏิเสธ เด็กๆหน้าตาน่ารักน่าชังมากอยู่ก็จริง แต่เธอเคยเลี้ยงลูกมาก่อนย่อมรู้ดีว่า นอกจากความน่ารักแล้ว เด็กๆยังมีความน่ารำคาญและความสามารถในการรบกวนคนอื่นอยู่เต็มเปี่ยมควบคู่มาด้วย
“ผมจะไม่เสียงดังมากหรอกครับ จริงๆ”
วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว พรุ่งนี้เป็นเส้นตายที่ทางห้องเช่าขีดไว้ให้ต้องออกมา หากหาห้องไม่ได้ภายในวันนี้ ภาวินยังไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี
“ไม่ไหวจริงๆคุณ ลองไปหาที่อื่นดูเถอะนะ”
เขาจำใจต้องเดินออกมาเมื่อผู้ดูแลห้องไม่ให้ความสนใจใดๆอีก ภาวินอยากจะบอกนักว่าใช่ว่าเขาไม่ลองหาที่อื่นมาก่อนแล้วที่ไหน เดินจนเหนื่อยจนเด็กๆที่ไม่ได้เดินด้วยยังเต็มไปด้วยเหงื่อ แต่ก็ยังไม่ได้ห้องพักใหม่เลย
“หรือว่าเราจะไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ”
คิดอย่างอับจนหนทาง ห้องที่พอจะยอมให้เอาเด็กๆเขาไปอยู่ได้ก็ราคาแพง ภาวินไม่ใช่ไม่มีเงิน เขามีแต่แค่ไม่มากพอจะเช่าห้องดีๆอย่างเดือนห้าหกพันอยู่ได้ตลอดรอดฝั่ง ถึงจะหารครึ่งกับตรัยก็ยังถือว่ามากไป เขายังต้องสำรองเงินเผื่อเด็กๆไม่สบายหรือเกิดเหตุฉุกเฉินอีก แต่ห้องราคาสามพันลงมาแล้วอยู่ในย่านที่ดีหน่อยกลับไม่รับเด็กเล็กๆเสียอีก อันนั้นก็ไม่ดีอันนี้ก็ไม่ได้ ภาวินเดินมาเรียกแท็กซี่กลับห้องด้วยความท้อ บางทีเขาคงต้องติดต่อพ่อของเด็กๆดูอย่างจริงจังอีกครั้งจริงๆ
.....................................
นราธิปกำลังขับรถกลับบ้านตอนที่ทางบริษัทโทรมาว่ามีคนมาขอพบเขา ยิ่งได้ยินชื่อคนที่มาขอพบเขาก็ยิ่งแปลกใจจนต้องหันรถกลับมา
“วิน?”
เขาเดินเข้ามาที่สำนักงานและเอ่ยทักคนที่นั่งรออยู่อย่างไม่อยากจะเชื่อ ภาวินคงไม่สามารถจะขอให้คนที่นี่ติดต่อเขาได้ หากไม่เพราะอัลบั้มรูปที่อีกฝ่ายถือเอาไว้ในมือ
“สวัสดีครับคุณนราธิป”
คำทักทายที่ห่างเหินทำเอานราธิปต้องแอบถอนหายใจ มันช่วยไม่ได้หรอกในเมื่อเขาทำกับอีกฝ่ายไว้เยอะเหมือนกัน
“มาทางนี้”
เขาเดินนำภาวินเข้ามาในห้องทำงานซึ่งเป็นส่วนตัวมากกว่า ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา มันเกือบๆจะหนึ่งทุ่มอยู่แล้ว แสดงให้เห็นว่าธุระของภาวินคงด่วนมากถึงขนาดรอพรุ่งนี้ไม่ได้
ภาวินนั่งลงตามคำเชิญ แม่บ้านยกน้ำเข้ามา พวกเขารอจนกระทั่งเธอออกไปจึงเริ่มพูดคุย
“ไม่เจอกันนาน วินสบายดีนะ”
นราธิปเอ่ยปากก่อน เห็นท่าทางอึกอักก็พอเดาได้ว่าภาวินไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มอย่างไร
“ครับ”
ภาวินตอบสั้นๆ หน้าตึงขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อนึกถึงการพบกันครั้งสุดท้าย แต่เขาก็พยายามปัดๆมันทิ้งไปเพราะมีเรื่องสำคัญกว่า
“นี่ครับ”
เขาหยิบรูปใบหนึ่งออกจากอัลบั้มมาวางไว้บนโต๊ะ รูปนี้สอดไว้ใต้รูปอีกใบทำให้คนอื่นๆไม่มีใครเห็น นราธิปเอื้อมไปหยิบอย่างไม่คิดอะไร ก่อนจะอึ้งไปเมื่อเห็นรูปชัดๆ
“พวกแกเป็นลูกของคุณ”
คนมีลูกแบบไม่ทันได้ตั้งตัวไหล่เกร็งหน้าขรึมขึ้นมาทันควัน แม้ไม่กี่วันก่อนเขากับพี่ชายฝาแฝดจะหยอกกันเล่นว่าจะไปหาผู้หญิงสักคนมาทำให้ท้อง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องจริงจัง พวกเขายังสนุกกับงานและไม่คิดว่าตัวเองพร้อมจะมีลูก
“นี่มัน.....”
“ผมรูว่ามันเชื่อได้ยาก ถ้าเลือกได้ผมก็ไม่คิดจะมาพึ่งคุณหรอก แต่มันไม่มีทางเลือกแล้วผมถึงต้องมา”
นราธิปวางรูปลงแล้วพิงพนักอย่างครุ่นคิด
“รู้ใช่ไหมว่าต้องมีการพิสูจน์”
ภาวินพยักหน้า เขาไม่โกรธนราธิปที่จะไม่แน่ใจ ภีรยาไม่ได้ทำตัวดีนัก ยิ่งที่พี่สาวเล่าให้ฟังเรื่องว่าตนเองพลาดได้อย่างไรยิ่งทำให้ภาวินไม่โกรธอีกฝ่ายในเรื่องนี้เลย
“แม่ของเด็กล่ะ”
“พี่สาวผม ชื่อภีรยา...”
นราธิปนวดขมับเมื่อนึกออก มันมีความเป็นไปได้เพราะวันนั้นเขาเมามาก ทั้งเมาเหล้าและแน่ใจว่าตนเองได้รับยากระตุ้นจนขาดสติ เขาไม่เคยไม่ป้องกันเมื่อมีความสัมพันธ์กับใคร แต่เขาก็พลาดกับเธอจนได้ หลังจากตอนนั้นเขาเครียดมากเพราะกลัวติดโรคจากหญิงสาว ทั้งโกรธทั้งรู้สึกขายหน้า ยิ่งเมื่อเธอมาตามตื๊อเขาไม่เลิกเขาก็ยิ่งไม่พอใจ แต่เขาไม่คิดว่าเธอจะท้อง! ผู้หญิงที่เที่ยวเล่นไปทั่วอย่างเธอโดยปกติจะป้องกันตัวเองจากเรื่องแบบนี้ ไม่คิดเลยว่าเธอจะพลาดเช่นกัน!
“วินกำลังเดือดร้อนใช่ไหม ”
หลังจากปล่อยให้ห้องเงียบอยู่หลายนาทีนราธิปก็เอ่ยถาม ภาวินไม่เอ่ยเร่งเร้าเพราะรู้ว่าเรื่องนี้มันเป็นดั่งสายฟ้าฟาด ไม่มีใครสามารถรับมือกับมันได้ทันทีทันใด นราธิปถือว่าครองสติได้ดีมากที่เพียงแค่นั่งนิ่งๆ แล้วก็ยังเรียบเรียงความคิดกลับมาอย่างรวดเร็วขนาดนี้
“ผมไม่ได้จะมาเรียกร้องอะไรให้เด็กๆ ผมอยากขอแค่ช่วยหาที่อยู่ชั่วคราวให้พวกผมพัก”
ภาวินไม่ได้ต้องการจะให้นราธิปรับเด็กๆไป เขายังหาที่อยู่ใหม่ไม่ได้จึงอยากขอความช่วยเหลือ...เพียงไม่นานเท่านั้น หากเขาก็รู้ดีว่าเรื่องมันคงไม่จบง่ายๆอย่างที่เขาต้องการ
“ถ้าพวกเด็กๆเป็นลูกของพี่ ชั่วคราวของวินคงไม่พอ”
คนฟังเม้มริมฝีปาก เขาพลาดที่ไม่ได้ขอเด็กๆมาเป็นลูกบุญธรรม แม้จะมีใบมอบอำนาจการเป็นผู้ปกครอง แต่นราธิปที่เป็นพ่อแท้ๆย่อมมีสิทธิ์มากกว่า...
“ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดไปถึงตรงนั้นเลย พี่ว่ามีเรื่องเร่งด่วนกว่าจริงไหม”
ใช่แล้ว ภาวินตำหนิตัวเองที่มัวแต่คิดเรื่องอื่น เด็กๆจะได้อยู่กับภาวินเหมือนเดิมไหมเป็นเรื่องรอง เรื่องสำคัญตอนนี้คือเขาต้องรีบหาที่พักต่างหาก
“ผมอยากได้ที่พัก ห้องไม่ต้องกว้างมากก็ได้ครับแต่ขอย่านดีๆหน่อย แล้วก็...คือ...ถ้าเป็นไปได้อยากให้ได้วันนี้พรุ่งนี้เลย หรือไม่ก็ขอเร็วที่สุด”
การมาขอปุ๊บปั๊บคงยากจะได้ตามต้องการ เขาคงต้องกัดฟันนอนโรงแรมไปสักพัก นราธิปรับคำแล้วเงียบไปเหมือนครุ่นคิด สำหรับเขา ถ้าภาวินมาขอร้อง ถึงแม้จะไม่มีเด็กๆเขาก็ยินดีจะช่วยเหลืออยู่แล้ว เขามองรูปที่ตั้งอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง...จากหน้าตา ลักษณะภายนอก...เด็กๆในรูปมีโอกาสจะเป็นลูกของเขามากจริงๆ
.............................
“คุณไม่ต้องไปส่งผมก็ได้”
“พี่ไม่ได้มาส่ง แต่มาช่วยขนของ”
นราธิปตัดสินใจได้รวดเร็ว เพียงแค่เห็นหน้าภาวินที่ไม่ได้เห็นมาสี่ปีเขาก็ไม่ลังเลเลยว่าเขาจะต้องตัดสินใจอย่างไรกับคำขอของอีกฝ่าย
นราธิปยังจำได้ดีถึงตอนที่พบกันครั้งแรก เขาเรียนอยู่ปีสี่ขณะที่ภาวินเป็นนักศึกษาปีที่หนึ่ง เป็นรุ่นน้องของเพื่อนเขาซึ่งต้องวิ่งตามรุ่นพี่มาเพื่อขอลายเซ็นถึงโรงอาหาร
“น้องวิน ไหนแนะนำตัวสิ”
ภาวินที่มัดผมจุกแถมผูกโบว์อันใหญ่สีแดงแป๊ดยืนตรงหลังตึงแนะนำตนเองอย่างฉะฉาน พวกเขาที่อยู่ต่างคณะได้แต่ส่ายหัวกับชื่อประหลาดๆและสถานะประหลาดๆของรุ่นน้องเพื่อน แถมไม่พอ เพื่อนเขายังไล่รุ่นน้องไปเต้นแร้งเต้นกาทำท่าบ้าบอที่หน้าโรงอาหารอีก ยังโชคดีที่ทำกันเป็นกลุ่ม...
เขามองภาพรุ่นน้องทั้งหมดด้วยเห็นขำ แต่กลับรู้สึกว่าหนึ่งในนั้นช่างน่ารัก...จากนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจภาวินอีก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะงานที่รัดตัวของเด็กใกล้จบอย่างเขา และอีกส่วนเพราะตอนนั้นเขาคบกับดาวบัญชีปีสองอยู่ นราธิปไม่ใช่คนเจ้าชู้ เค้าอาจจะเปลี่ยนคู่ควงบ่อยจนใครๆต่างพากันคิดว่าเขาเป็นอย่างนั้น แต่ถ้ามารู้จักนราธิปจริงๆจะรู้ว่าเจ้าตัวไม่เคยคบซ้อน เวลาจะคบใครก็คบเพียงทีละคน
“จอดตรงนั้นได้ครับ”
ภาวินดึงนราธิปกลับมาจากภาพความทรงจำ ชายหนุ่มชี้มือไปตรงขอบฟุตบาทที่ว่างอยู่เขาจึงตีไฟเลี้ยวเข้าไปจอดยังจุดนั้น
“คุณจะขึ้นไปจริงๆหรือ”
พอเห็นนราธิปถอดเข็มขัดนิรภัยภาวินก็อดเอ่ยถามไม่ได้
“พี่มาช่วยขนของไง”
คนฟังถอนหายใจเล็กน้อย ว่ากันตามจริงเขาก็เก็บของใส่กล่องไว้หมดแล้ว แต่ทว่ายังไม่ได้คิดจะย้ายออกตั้งแต่วันนี้...แม้มันจะถึงเส้นตายที่ป้าเจ้าของหอขีดไว้แล้วก็เถอะ
“ผมว่าย้ายวันนี้คงไม่สะดวก นอกจากผมกับเด็กๆแล้วก็ยังมีตรัยอีกคนนะครับ”
นราธิปชะงักไปเล็กน้อย เขาจำตรัยได้ ผู้ชายที่เขานึกระแวงว่าอาจจะเป็นตัวจริงของภาวินเมื่อตอนที่เพิ่งเริ่มจีบอีกฝ่าย แต่พอได้เห็นหน้าค่าตา ความสงสัยที่ว่าก็ตกลงไป นราธิปเคยเจอตรัยแค่ครั้งเดียว และไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าเอ่ยทักทาย เพราะตอนนั้นเขายังไม่ได้คบกับภาวิน
“อ้าว พ่อแฝดสาม?”
ตรัยเอ่ยทักอย่างงงๆ รู้สึกแปลกใจที่อีกฝ่ายยอมตามภาวินมาถึงนี่ เขานึกว่าจะต้องมีการตรวจพิสูจน์อะไรกันให้เรียบร้อยก่อนเสียอีก
“สวัสดีครับ”
นราธิปยิ้มบาง ภาวินเคยย้ำหนักหนาว่าตรัยคนนี้คือพี่ชาย แม้ไม่ใช่พี่ชายร่วมสายเลือด แต่ก็เป็นญาติสนิทเพียงคนเดียวสำหรับภาวิน ดังนั้นเขาจึงต้องทำให้อีกฝ่ายชอบตนเองมากกว่าเกลียดขี้หน้า
“เอ่อ...สวัสดีครับ”
“เด็กๆล่ะครับ”
ภาวินเอ่ยถามพลางเดินไปล้างมือล้างเท้าดั่งเช่นทุกครั้งที่เข้าบ้าน นราธิปจึงทำตามเพราะคิดว่าเป็นการรักษาอนามัยเพื่อเด็กๆ
“นอนแล้ว พี่เห็นว่ามันสามทุ่มกว่าแล้วเลยพาเข้านอนเลย”
ภาวินพยักหน้า เดินไปสำรวจเด็กๆบนที่นอนโดยมีร่างสูงใหญ่ของนราธิปเดินตามไม่ห่าง
“พวกแกตัวนิดเดียวเอง”
คนฟังหันไปค้อนขวับ
“ผมเลี้ยงหลานๆอย่างดี ต่อให้พวกแกไม่เคยดื่มนมแม่ แต่ก็ไม่เคยอด และน้ำหนักพวกแกก็ได้มาตรฐาน”
ดูเหมือนภาวินจะตีความหมายคำพูดของนราธิปไปอีกทาง นราธิปไม่ได้จะต่อว่าหรือตำหนิ เขาแค่รู้สึกว่าเด็กๆตัวเล็กกว่าเขามากก็เท่านั้น
“วิน เสียงดังนะ”
ตรัยดุแบบไม่จริงจังนัก ความเป็นอริที่ภาวินส่งไปยังนราธิปมีรึคนสนิทอย่างตรัยจะมองไม่เห็น ...แม้ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไรแต่เขาก็เดาเอาเองว่า ภาวินคงกลัวนราธิปจะมาแย่งเด็กๆ ยิ่งอีกฝ่ายกระตือรือร้นถึงขั้นตามมาตั้งแต่รู้ข่าวอย่างนี้ยิ่งน่ากลัว แต่นั่นพ่อเด็กๆนะ ยิ่งเขาตามทั้งที่ยังไม่มีการพิสูจน์แน่ชัดอย่างนี้ยิ่งแสดงว่าเขามีความรับผิดชอบ ควรจะชื่นชมต่างหาก
“ทางนี้ดีกว่าครับคุณ วินคงนั่งจ้องพวกแกอีกสักพัก”
นราธิปเองก็รู้ว่าภาวินเริ่มเข้าสู่ภาวะเครียด อาจจะมีเรื่องหลายอย่างประเดประดัง เขาจึงยอมถอยห่างออกมาแต่โดยดี
“นี่ครับ”
ตรัยวางกาแฟลงตรงหน้าแล้วนั่งลงข้างๆผู้ชายที่ได้รับคำบอกกล่าวว่าเป็นพ่อของเด็กฝาแฝดทั้งสาม
“ผมอยากรู้ว่าคุณคิดจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง”
แม้จะไม่ใช่น้าแท้ๆแต่ตรัยก็ช่วยภาวินเลี้ยงหลานมาตั้งแต่เกิด ความรักความผูกพันย่อมมีไม่น้อยกว่าที่ภาวินมี เพียงแต่ตรัยไม่ได้มีอดีตกับนราธิปอย่างภาวิน อคติที่มีจึงน้อยกว่า
“ผมคงจะรับเด็กไปอยู่ด้วยเลย”
“โดยไม่มีการพิสูจน์?”
นราธิปมองหน้าตรัยอย่างสงสัย มันไม่ใช่แค่เรื่องของเด็กๆ พลันก็กระจ่างว่าตรัยคงไม่รู้เรื่องของเขากับภาวิน แม้จะเคยเจอเคยทักกันครั้งหนึ่งแต่ก็คงลืมไปแล้ว
“ผมกับวินเคยรู้จักกันครับ”
ตรัยขมวดคิ้ว ภาวินไม่ได้บอกเขาสักคำว่ารู้จักพ่อของเด็กๆ...หรือว่ามันมีอะไรซับซ้อนมากกว่าที่เขาคิด
“เอาเป็นว่าผมไม่มีทางหวังร้ายกับวินเขาได้ผมรับรอง ส่วนคุณถ้าจะไปอยู่ด้วยกันผมก็ไม่ว่า”
“คุณคิดจะเอาเด็กไปจากภาวินหรือเปล่า”
ตรัยเป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย เขาอยู่ที่ไหนก็ได้ เรื่องที่อยู่จึงไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่อนาคตของภาวินกับหลานๆต่างหากที่เขากังวล ฝั่งคนโดนถามมองตรัยอย่างค้นหา
ความเป็นห่วงเป็นใยและติดจะหวงนิดๆของตรัยมองได้ง่ายมาก...หรือว่าหลายปีที่ผ่านมาสองคนนี้จะพัฒนาจากพี่น้องไปเป็นอย่างอื่นกันเสียแล้ว
“ไม่ว่าเด็กทั้งสามคนจะเป็นลูกของผมหรือเปล่า ผมก็ไม่คิดจะแยกพวกเขาจากวินหรอกครับ”
ตรัยยังไม่เชื่อทั้งหมด แต่ก็สบายใจได้ว่าหากนราธิปคิดจะแย่งเด็กๆไปก็คงไม่ใช่เร็วๆนี้
“ผมถามได้หรือว่าคุณตรัยเป็นอะไรกับวิน”
ตรัยเลิกคิ้ว มองใบหน้าหล่อเข้มที่สบสายตาเขาอย่างจริงจังแล้วก็แอบอมยิ้ม...ท่าทางพ่อของเด็กๆจะอยากรับเลี้ยงภาวินมากกว่าเด็กๆเสียกระมัง
“คิดเองสิคุณ แต่ผมสำคัญมากก็แล้วกัน”
นราธิปไม่ใช่คนโง่ เขาฟังดูก็รู้ว่าตรัยตั้งใจไม่ตอบเพื่อให้เขาตีความหมายไปในทางไหน แต่เพราะไม่พูดออกมาตรงๆนี่ล่ะที่ทำให้นราธิปสบายใจ
“คุยอะไรกัน”
ภาวินเดินเขามาแล้วนั่งมองตรัยทีนราธิปทีอย่างไม่ไว้ใจ เขากลัวว่านราธิปจะหลุดปากบอกตรับเรื่องที่เคยคบกันซึ่งภาวินไม่อยากให้ตรัยรู้...
“กำลังคุยกันว่าทำไมวินไม่บอกพี่ว่ารู้จักกับคุณนราธิปมาก่อน”
“เขาเป็นเพื่อนของรุ่นพี่ ผมไม่คิดว่าจะจำผมได้ด้วยซ้ำ”
ตรัยมองนราธิปที่เจือนไปนิดอย่างเห็นใจ ท่าทางทั้งสองคนคงเคยมีเรื่องกันมาก่อน อย่างน้อยๆก็ฝั่งภาวินล่ะที่ไม่พอใจ ส่วนจะมีเรื่องอะไรกันมานั้นเขาไม่อยากเดา
“เอาเป็นว่าคุณกลับไปก่อนแล้วกัน เด็กๆนอนกันแล้ว ย้ายตอนนี้ก็ไม่สะดวก พรุ่งนี้เช้าคุณโทรมาบอกก็พอว่าจะให้เราไปอยู่ที่ไหนเดี๋ยวพวกเราไปกันเอง”
ทั้งที่ไปรบกวนเขาแต่กลับพยายามกันเขาออกมาเป็นคนนอก เห็นจะมีแค่ภาวินเท่านั้นที่ทำแบบนี้ได้หน้าตาเฉย
“งั้นพี่กลับก่อน”
นราธิปลุกขึ้นอย่างไม่เกี่ยงงอน
“พรุ่งนี้พี่จะมารับ”
...ท่าทางไม่ได้มีแค่ภาวินคนเดียวเสียแล้วที่ทำอะไรหน้าตาเฉย นราธิปเองก็ไม่ต่างกัน
“จะเรียนว่าสมกันหรืออะไรดี”
ตรัยพึมพำเบาๆ ก่อนจะรีบเดินหนีเมื่อเจอตาจ้องแบบเขียวปัดของภาวิน
...................................
ไม่ต่อกันนะคะ
ภาวินเดินเข้ามาในห้องครัวเพื่อเตรียมนมสำหรับเด็กๆ เขาเผลอเหม่อจนกระทั่งรู้สึกได้ถึงอ้อมแขนที่โอบล้อมตนเอาไว้ แผ่นหลังสัมผัสได้ถึงความใกล้ชิด
“คุณไม่คิดว่ามันใกล้ไปหน่อยหรือ”
ภาวินถาม หางเสียงสะบัดใส่เต็มไปด้วยความขุ่นมัว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นใคร
“พี่แค่อยากช่วย”
หากก็ไม่ได้ทำให้นราธิปสำนึก คนตัวโตกว่าโอบภาวินไว้ทั้งตัว อาศัยช่วงแขนที่ยาวกว่าตักนมผงใส่ขวดหน้าตาเฉย
“แต่ผมไม่ถนัด”
ภาวินไม่อยากจะดิ้นเพราะมันจะยิ่งทำให้ใกล้ชิดกันมายิ่งขึ้นก็เท่านั้น หากพอยืนเฉยนราธิปก็ดูเหมือนจะยิ่งได้ใจ ใบหน้าคมเลื่อนเข้าใกล้ ลมหายใจกระทบต้นคอร้อนผ่าวไปทุกขณะ
“หยุดเลย!”
พอนราธิปวางขวดนมลงภาวินที่คอยจังหวะอยู่แล้วจึงเหยียบเท้าคนด้านหลังแล้วขยี้ด้วยส้นเท้า
“โอเคๆ ปล่อยๆ”
ภาวินยกเท้าออกขณะนราธิปก้าวถอยไปด้านหลัง
“คุณจะหาเศษหาเลยกับผมมากเกินไปแล้วนะ”
“พี่กำลังจีบวินอยู่ต่างหาก”
“ผมไม่อนุญาต ผมบอกคุณแล้วไงว่าเราจะข้องเกี่ยวกันเฉพาะเรื่องของเด็กๆเท่านั้น”
นราธิปหุบยิ้มแล้วถอนหายใจ
“วินจะไม่ให้โอกาสพี่บ้างเลยหรือ”
แม้สีหน้าของอีกฝ่ายจะเศร้าจนน่าสงสารแค่ไหน ภาวินก็บอกตัวเองว่าจะใจอ่อนไม่ได้
“คุณอาจจะลืมว่าคุณเคยได้มันไปแล้ว และคุณเลือกจะทิ้งมันเอง”
ภาวินทิ้งท้าย คว้าขวดนมแล้วเดินลิ่วออกจากห้องไปโดยไม่เหลียวหลัง
ถามว่ายังเจ็บไหม มันก็ยังเจ็บอยู่บ้างเมื่อนึกถึง แต่ก็ไม่ได้เจ็บช้ำมากมายเหมือนเมื่อตอนที่โดนทิ้งใหม่ๆ มันไม่ได้ส่งผลอะไรในชีวิตภาวินอีกแล้ว หากภาวินก็ไม่เคยลืม ไม่ใช่ว่าเขายังจมอยู่กับอดีต เขาก็แค่เจ็บแล้วจำ!
………………………….
“แค่นี้ก็ท้อแล้วหรือตาสอง”
คุณหญิงอุบลกอดอกมองหน้าลูกชายคนเล็กอย่างไม่ใคร่พอใจ
“แกทำอะไรเขาไว้ลืมแล้วหรือไง ถ้าเขายอมแกง่ายๆสิน่าแปลก แล้วถ้าน้องวินเป็นคนอย่างนั้นแม่ก็คงไม่สนับสนุน”
ธราธิปนั่งกินขนมแล้วมองมารดาขำๆ พอได้หลานคุณหญิงท่านก็ไม่สนใจแล้วว่าจะได้ลูกสะใภ้เป็นผู้หญิง ผู้ชาย หรือเป็นใครมาจากไหน เรียกว่าขอให้ถูกตานิสัยถูกใจก็ยินดีหมด แล้วภาวินก็เข้าข่ายถูกตาถูกใจคุณหญิงมากเสียด้วย
“แกน่ะมันโง่ ดูสิ น้องวินน่ารักขนาดนี้ แกดันทิ้งขว้างไปคว้ายายก้อนกรวดนั่น”
“คุณแม่...”
นราธิปปรามเสียงแข็ง เขากับลักษณาเลิกกันไม่ค่อยดีก็จริง แต่เขาก็ไม่ชอบที่มารดาจะกล่าวถึงเธอทำนองนี้ แม้ว่าลักษณากับมารดาจะเข้ากันไม่เคยได้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วก็เถอะ
“โอ๊ย เพราะแกเป็นแบบนี้นี่แหละตาสอง ตัดก็ไม่ขาด อย่าคิดว่าแม่ไม่รู้นะว่าแกยังติดต่อช่วยเหลือยายเมียเก่าแกอยู่ แกไม่เด็ดขาดแบบนี้ถ้าน้องวินรู้เข้ายิ่งไม่มีทางใจอ่อนกับแกแน่ๆ”
“คุณแม่ครับ ผมช่วยเหลือลักษณาในฐานะเพื่อน ถึงอย่างไรผมก็เคยมีความรู้สึกดีๆให้เธอ แต่ผมก็ไม่ได้รักหรืออาวรณ์เธอแล้วสักนิด มันไม่มีเหลือแล้วครับ ไม่ว่าเธอจะกลับมาขอคืนดีหรือไม่ผมก็ไม่มีทางหวั่นไหวไปกับเธอได้หรอกครับ”
อันที่จริงมีหลายครั้งที่ลักษณาทำท่าเหมือนจะอยากคืนดีกับนราธิป แต่เขาก็มันหลีกเลี่ยงไปทุกครั้งเพราะไม่คิดว่าจะกลับไปรักเธอได้ ลักษณาเองพอเห็นเขาเลี่ยงก็ไม่เซ้าซี้ ดังนั้นพวกเขาจึงยังคงความเป็นเพื่อนระหว่างกันอยู่ได้
ส่วนเรื่องช่วยเหลือก็อย่างที่บอก คนเคยรู้สึกดีๆต่อกัน เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดือดร้อน จะไม่ช่วยเลยก็ไม่ใช่วิสัยของนราธิป แต่เขาก็ไม่ได้ช่วยทุกอย่างจนเกินพอดี นราธิปไม่ใช่เด็กๆแล้ว เขาย่อมว่ารู้ขอบเขตมันอยู่ที่ตรงไหน
“แล้วอีกอย่างก็ไม่ใช่ว่าผมท้อนะครับ ผมแค่รู้สึกว่าการเรียกความไว้ใจกลับคืนมานี่มันช่างยากกว่าการสร้างความไว้ใจมากเสียจริงก็เท่านั้น...เฮ้อ...เอาเป็นว่าผมจะพยายามให้น้องวินของคุณแม่ยอมตกลงรับรักผมเร็วๆให้ได้แล้วกัน”
ว่าแล้วนราธิปก็ลุกออกจากห้องไปแบบเซ็งๆ คุณหญิงอุบลได้แต่ส่งค้อนตามหลังลูกชายคนเล็กไป ถ้าจีบติดตัวเองก็เป็นเรื่องความสุขของตัวเองแท้ๆ ทำอย่างกับเธอไปบังคับอย่างไรอย่างนั้น
........................
“อันนั้นกัดไม่ได้นะครับ ของคุณพ่อ”
ภาวินห้ามเด็กชายภูมิที่อมเนคไทของนราธิปเข้าไป ขณะเดียวกันก็หวีผมให้ภามและนั่งดูภีมดูดนมไปด้วย
“ปะ ปะ”
เด็กชายภูมิส่งเสียงพลางมองหาคุณพ่อเจ้าของเนคไท พอเห็นอีกฝ่ายเดินออกมาจากครัวก็วิ่งตุ๊บตั๊บเข้าไปหาอย่างยินดี
“ปะ ปะ”
ร้องเรียกพลางชูมือให้อุ้ม คนเป็นพ่อเห็นท่าอย่างนั้นของลูกชายแล้วก็อดจะอุ้มขึ้นมาไม่ได้
“ไม่เอาครับน้องภาม นั่งก่อนๆ”
พอเห็นพ่ออุ้มฝาแฝดตัวเอง ทั้งภามและภีมก็จะวิ่งไปทางนราธิปด้วย ติดที่ภามยังแต่งตัวไม่เรียบร้อย
“เอ้า แบ่งกันนะครับ”
เขาโยกภูมิสองสามทีเรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากน้องเล็กจอมซน ก่อนจะวางเด็กชายลงแล้วอุ้มภีมขึ้นมาบ้าง หากก็ไม่ได้โยกแรงๆอย่างที่ทำกับภูมิเพราะภีมยังไม่เลิกดูดนมแม้กระทั่งตอนเดินมาขอให้เขาอุ้ม เด็กๆตัวโตขึ้นมากทำให้นราธิปไม่สามารถอุ้มลูกได้พร้อมกันสองคนอย่างที่เคยทำเมื่อครั้งแรกได้อีกแล้ว ที่สำคัญภาวินก็ไม่ชอบให้เขาทำอย่างนั้นด้วย เพราะมันอันตรายสำหรับเด็กๆ
“ปะ ปะ ...อีด”
ภูมิยังเล่นไม่หนำใจเลยวิ่งวนไปมารอบขานราธิปเพื่อขอให้อุ้มอีก
“คิวภามก่อนนะครับ”
นราธิปว่าแล้วอุ้มภามที่แต่งตัวเสร็จแล้วขึ้นมาโยกตัวไปมาแรงๆซึ่งเด็กชายชอบมาก ยิ่งพอเขาให้เด็กชายสองคนโหนแขนแทนที่จะอุ้มทั้งสองก็ยิ่งสนุกเข้าไปใหญ่ ส่วนน้องภีม ตอนนี้นั่งมองเงียบๆตาปรือปรอยลงเรื่อยๆ
“ลูกไม่สบายหรือเปล่าวิน”
ภาวินเองก็คิดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะปกติภีมต้องเข้าไปเล่นด้วยกันกับฝาแฝดตัวเองแล้ว ไม่มานั่งเงียบๆอยู่แบบนี้หรอก
“เดี๋ยวผมไปเอาที่วัดไข้ก่อน”
นราธิปหยุดเล่นกันเด็กๆอีกสองคนเดินมาอังหน้าผากภีมด้วยความเป็นห่วง ส่วนสองฝาแฝดที่เหลือ พอเห็นพ่อทำเลยทำตามมั้งทั้งที่ไม่เข้าใจว่าพ่อทำไปทำไม
“เอาน้องภามกับน้องภูมิออกไปก่อนครับ ถ้าเป็นจริงเดี๋ยวพวกแกจะติดกัน”
นราธิปจึงต้องชวนลูกชายที่เหลือออกมาห่างๆแม้จะเป็นห่วงภีมอยู่ไม่น้อยก็ตาม
“ไข้นิดหน่อยครับ”
ว่าแล้วลุกขึ้นไปหยิบยาแก้ไข้สำหรับเด็กมาป้อนให้น้องภีม
“แล้ววินจะอยู่ยังไง เจ้าสองคนนี้กวนแย่เลย”
“เดี๋ยวเอาน้องภีมนอนก่อนครับ อีกสองคนค่อยมาจัดการ”
ปกติแล้วภาวินก็ทำอย่างนั้น อย่างน้อยๆก็ก่อนหน้าที่จะเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังนี้ แต่นราธิปไม่เห็นด้วย
“เดี๋ยวพี่ให้ป้าทับมาช่วยดูตาภีมดีกว่า แค่เฝ้าแกหลับนิดหน่อย ส่วนภูมิกับภามวินก็ดูไปตามปกติละกัน”
ภาวินพยักหน้าอย่างเห็นดีด้วย การดูแลเด็กไม่สบายหนึ่งคนและเด็กสบายดีอีกสองคนนั้นไม่ได้ยากเกินความสามารถ แต่หากมีคนมาช่วยก็จะแบ่งเบาไปได้มากทีเดียว
“พี่ไปทำงานก่อน ถ้ายังไงจะรีบกลับ มีอะไรก็โทรหาพี่นะ”
นราธิปเดินไปจูบหน้าผากเด็กชายที่หลับไปจากพิษไข้ หันกลับมาก็เจอลูกชายอีกสองคนยืนมองตาแป๋วจึงก้มลงหอมแก้มลูกชายทั้งสองคนด้วย
“พ่อไปก่อน แล้วอย่าดื้ออย่าซนนะครับ”
ภาวินมองตามหลังนราธิปไป เจ้าตัวบอกลูกชายสามคนแบบนี้ทุกวัน แต่ก็ไม่เห็นว่าพวกเด็กๆจะไม่ดื้อไม่ซนได้สักวันที่ไหน
............................
ติดตามต่อได้ในเล่มค่ะ
เป็นน้องใหม่ที่ได้อ่านนิยายของพี่จิ๊บนะคะ ชอบเรื่องนี้มากแต่เข้ามาแล้วหมดไปแล้วอ่ะเสียดายอยากให้มีรีปริ้นจังคะ
เพิ่งได้ซื้ออ่านจนจบค่ะ
ชอบพี่หนึ่งมากๆ อยากให้เจอคนมาปราบจริงๆ
แนะนำให้เป็นพี่จักรมาปราบนะคะ เวลาอ่านคงจะฟินมาก >///<
เพราะชอบทั้งพระ(พี่หนึ่ง) และนาย(พี่จักร) เลยยยย อิอิ
ขอบคุณทั้งสองคนนะคะ เพิ่งเห็นค่ะ ToT ดีใจที่ชอบนะคะ แต่แอบกระซิบว่าพี่หนึ่งกับพี่จักรมีคู่ของตัวเองงงงงงง และหนังสือรีปริ้นเรื่อยๆค่าาาาา
IDขายของในเล้าเป็ด
หน้าที่เข้าชม | 189,496 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 83,945 ครั้ง |
เปิดร้าน | 15 ธ.ค. 2555 |
ร้านค้าอัพเดท | 3 ส.ค. 2568 |